วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การดูแล ตา ฟัน เล็บ น้องหมา

1.การดูแลตา

ตาของสุนัขที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์สุนัขบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของสุนัข คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปสุนัขบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ 

2.การดูแลเล็บ

เล็บสุนัขจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสุนัขที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้สุนัขเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บสุนัขควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้สุนัขที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา

 
3.การดูแลฟัน 

โดยปกติแล้วสุนัขฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันสุนัขไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี สุนัขบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์

วิธีการเล่นกับสุนัขอย่างถูกต้อง





การเล่นกับน้องหมาอย่างถูกต้อง
การเล่นของคุณ จะมีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมของสุนัข ขึ้นอยู่กับคุณเล่นกับสุนัขของคุณอย่างไร และเล่นแบบไหน ปัญหาพฤติกรรมที่พบในหมาโตๆ ล้วนเป็นผลมาจากการเล่นในวัยเด็ก การเล่นของคุณไปกระตุ้นให้สุนัขชอบ แย่ง ไล่กวด กัด หรือไม่




สิ่งสำคัญของการดูแลสุนัข 
คือการฝึกให้สุนัขรู้จักควบคุมตัวเองเป็นสุนัขที่ดี เชื่อฟัง และปลอดภัยต่อเด็กๆ ต้องนั่งลงได้แม้ใจอยากกระโดด อดทนอดกลั้นคอยได้ ปล่อยของได้แม้อยากคาบอยู่ กิจกรรมทุกอย่างของสุนัขถ้าเป็นการสนับสนุนการรู้จักควบคุมตัวเองของสุนัข ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ก่อนจะเล่นอะไรก็ตามกับน้องหมาต้องแน่ใจว่าการเล่นของคุณจะสนับสนุนพฤติกรรม และทัศนคติที่คุณต้องการให้น้องหมาเป็น การเล่นที่ดีจะส่งเสริมให้น้องหมาควบคุมง่าย และยอมทำตามคำสั่ง"

หลีกเลี่ยงการกระทำที่ไม่เหมาะสมที่เป็นการท้าทาย หรือแหย่น้องหมา เช่น อย่าเคลื่อนไหวไปมาและจู่โจมอย่างรวดเร็ว หลีกเลี่ยงการยั่วยุน้องหมาด้วยของเล่นก่อนที่จะปา ดึงและบิดของเล่นอย่างแรงจากปากน้องการกระทำดังกล่าวนี้จะทำให้น้องหมาเพิ่มความเป็นจ่าฝูงมีพฤติกรรมที่ ก้าวร้าว การกระทำเหล่านี้อาจจะช่วยกระตุ้นให้น้องหมาที่ขี้อายเล่น แต่ควรหลีกเลี่ยงในการกระตุ้นอย่างสูง ทำให้กลายเป็นน้องหมาที่กล้าเกินไป น้องหมาที่เคยเล่นแย่งของแบบที่กล่าวมากับผู้ใหญ่ เมื่อมีเด็กๆ สัก 5 ขวบเดินถือของแกว่งมาน้องหมาจะเข้าใจว่าต้องไปแย่งมา การเล่นแบบนี้จะเป็นอันตรายมาก ถ้าสุนัขโตไปไล่จักรยานของผู้คนที่ผ่านไปมา หรือไปไล่กัดเด็กที่กำลังวิ่งเล่น

น้องหมาควรจะมีของเล่น 2 ชนิด
1. ของเล่นที่ทำให้สงบ หรือของเล่นประเภทขบเคี้ยว มีไว้เพื่อทดแทนรองเท้าและเฟอร์นิเจอร์

2. ของเล่นที่ใข้เล่นตอบโต้กัน เช่น บอล ของเล่นที่มีเสียง ของเล่นที่ใช้ดึงหรือลาก กลุ่มนี้น้องหมาเอาไว้เล่นสนุกกับคุณ

คุณหรือร่างกายคุณไม่ใช่ของเล่นของสุนัข
ห้ามใช้ร่างกายหรือเสื้อผ้าคุณเป็นอุปกรณ์การเล่น เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการบอกให้น้องหมาทราบว่าคุณเป็นลูกหมาเล็กๆ ที่อ่อนแอกว่าเค้า คุณไม่ใช่สุนัขเพราะฉะนั้นไม่ควรคุกเข่าลงคลานแล้วทำท่าเห่าหรือขู่เลียนแบบน้องหมา อีกทั้งไม่ควรเล่นต่อสู้เพื่อกระตุ้นให้เค้ากัดด้วย






การใช้เสียงของคุณให้มีประสิทธิภาพ
ระดับเสียงสูง การร้องเสียงแหลม ทำเสียงคุณให้คล้ายของเล่นซึ่งร้องเสียงแหลม ซึ่งเหมือนเสียงสัตว์บาดเจ็บ ซึ่งเสียงเหล่านี้จะนำลักษณะผู้ล่าออกมาจากตัวสุนัข การส่งเสียงร้องเบาๆ เสียงคล้ายๆ ลูกสุนัขตัวอื่นๆ น้องหมาจะเข้าใจว่าคุณ คือ เพื่อนเล่น ไม่ใช่จ่าฝูง เสียงเด็กๆ และผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีเสียงสูง เช่น ว๊ายยย ไม่... ถ้าออกคำสั่งหรือดุน้องหมาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ไม่ได้ผล คุณต้องใช้เสียงที่ต่ำๆ สงบ และคำสั่งชัดเจน เช่น ไม่ ซ้าย ขวา นั่ง คอย จึงจะเป็นการใช้เสียงที่มีผลต่อการสั่งน้องหมา


คุณเป็นผู้คุมกฎ
เก็บของเล่นที่ใข้เล่นตอบโต้กัน เช่น บอล ของเล่นที่มีเสียง ของเล่นที่ใช้ดึงไว้ให้มิดชิด ไม่ทิ้งไว้ตามพื้น คุณจะเป็นผู้เลือกของเล่น คุณเป็นคนตัดสินใจว่าจะเล่นอะไร มีกฎอย่างไร และหยุดเล่นเมื่อใด น้องหมาไม่มีสิทธิออกนอกทิศทางไปกับของเล่นเมื่อเกมส์จบ ของเล่นเป็นของคุณ และคุณอนุญาติให้น้องหมาเล่นเมื่อคุณสั่งการเล่นเป็นวิธีการที่สนุกสนานที่จะใช้ฝึกให้น้องหมา ให้เป็นจ่า ฝูง หรือฝึกเพื่อให้คุณควบคุมน้องหมาได้ ในที่นี้ได้รวบรวมการเล่นที่ดีที่มีผลดีต่อพฤติกรรมในอนาคตของน้องหมา



วิธีการเล่นที่ไม่ดีกับน้องหมามีดังนี้
การเล่นที่แย่ : "เล่นไล่จับ เล่นแย่งของ"
การเล่นโดยคุณกระทืบเท้า แล้วให้น้องหมาวิ่งหนี หรือแย่กว่านั้น คือ น้องหมากำลังคาบของอยู่แล้วคุณพยายามไล่จับเพื่อแย่ง ของ (การเล่นแบบนี้เป็นการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่หวงของ และเป็นการฝึกให้รู้จักวางแผนหลบหลีก เจ้าเล่ห์ ทำให้เราคุม(จับ)น้องหมาไม่ได้ ถ้าน้องหมาเคยเล่นแบบนี้)

การเล่นที่แย่ : "เกมชักคะเย่อ"
การที่น้องหมาต่อสู้แย่งของเล่นจากคุณ โดยในบางครั้งน้องหมามีการขู่คำราม แล้วชนะวิ่งคาบของเล่นหนีไปจากคุณ (การเล่นแบบนี้เป็นการผิดพลาดที่สร้างอำนาจ และสร้างความกล้าให้น้องหมา เลยเถิดไปถึงก่อให้เกิดพฤติกรรมที่หวงของ)

การเล่นที่แย่ : "ขว้างลูกบอล"
น้องหมาผลักลูกบอลมาที่คุณ จ้องมองอย่างมุ่งมั่น ให้คุณขว้างลูกบอล แล้วน้องหมาก็รีบแย่งบอล เมื่อคุณมาถึงบอล เมื่อน้องหมาอนุญาติให้คุณขว้างบอล น้องหมาก็จะมากระโดดโลดเต้นยั่วแหย่คุณแทนที่จะไปเก็ บมาให้คุณ (การเล่นแบบนี้เป็นการสอนให้น้องหมารู้ว่าน้องหมาสามารถสั่งคุณได้)

การเล่นที่แย่ : "การเล่นต่อสู้"
การกระตุ้นน้องหมาให้กระโดดเกาะคุณ ขบ งับ กัด วิ่งไล่ และแสดงกำลังกับคุณ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้สุนัขรู้ว่า สุนัขมีอำนาจเหนือคุณ

การเล่นที่ดีกับน้องหมา







สุนัขโดยทั่วไปสามารถสร้างนิสัยให้ใหม่ และฝึกสุนัขให้ทำตามคำสั่งได้เพียงแต่เราควรที่จะนำมันมาหัดตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน หลังจากที่มันแยกตัวออกจากแม่ของมันแล้ว เปรียบเสมือนการฝึกเด็กให้พูด ให้เดิน ให้คลานตามคำสั่ง ซึ่งจะทำได้ง่ายและเชื่อฟังแต่โดยดี 


การเล่นที่ดีกับน้องหมาของคุณ
1. การเล่นซ่อนหา
การเล่นแบบนี้ให้คุณไปแอบแล้วให้น้องหมาหาคุณให้เจอ (การเล่นแบบนี้เป็นการฝึกสอนน้องหมาให้มาหาเมื่อคุณเรียก และวิธีการที่น้องหมาจะหาคุณพบได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นคุณ) หรืออาจจะเล่นโดย เอาของเล่นหรือขนมไปซ่อน แล้วกระตุ้นให้น้องหมาไปหา การเล่นแบบนี้เป็นเกมที่ดีมากในการฝึกดมกลิ่น

2. การเล่นเกมชักคะเย่อ ตามคำสั่ง
คุณนำของเล่นมาชักชวนให้น้องหมาเล่น คุณเป็นคนกำหนดกฎกติกาใช้คำสั่ง 3 คำสั่ง "เอาไป" "ดึง" "ปล่อย" การเล่นจะเริ่มต้นและจบเมื่อคุณสั่ง และเมื่อจบการเล่นคุณเป็นผู้เก็บของเล่น จนกว่าจะเริ่มเกมต่อไป (การเล่นแบบนี้เป็นการฝึกฝนความเป็นผู้นำ ในระดับพอประมาณไม่มากเกินไป ในกรณีที่มีการกระตุ้นมากเกินไป จนเกมจบอย่างกะทันหัน สอนการควบคุมตนเอง)

3. การเล่นเกมส์ไปเก็บมา
คุณนำบอลมาแล้วชักชวนให้น้องหมาเล่น โดยเริ่มจากบทเรียนให้น้องหมาทำตามลำดับคือ "นั่ง" "คอย" "ไปเก็บมา" "ปล่อย" คุณเป็นผู้เก็บบอลไว้ จนกว่าจะเริ่มเกมต่อไป (การเล่นแบบนี้สอนให้น้องหมารู้จักกติกาว่าเมื่อไรจะ ต้องทำอะไร และเกมจบเมื่อใด ควรหยุดเล่นเมื่อสุนัขไม่ต้องการเล่น เพื่อให้เค้าอยากเล่นต่อในครั้งต่อไป)

4. การเล่นอุบายต่างๆ
การเล่นแบบนี้เป็นการฝึกจิตใจ(สมาธิ) น้องหมา ด้วยการสอนให้นั่งหวัดดี กลิ้ง ขอมือ เลี้ยงของไว้บนจมูกไม่ให้หล่น

การฝึกสุนัข







สุนัขโดยทั่วไปสามารถสร้างนิสัยให้ใหม่ และฝึกให้ทำตามคำสั่งได้เพียงแต่เราควรที่จะนำมันมาหัดตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน หลังจากที่มันแยกตัวออกจากแม่ของมันแล้ว เปรียบเสมือนการฝึกเด็กให้พูด ให้เดิน ให้คลานตามคำสั่ง ซึ่งจะทำได้ง่ายและเชื่อฟังแต่โดยดี


ฝึกให้สุนัขเดินทางไปไหนมาไหนได้
สุนัขที่เคยเดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ รถเมล์มักจะมีปัญหาในการเดินทางครั้งแรก จะเกิดอาการตื่นและเมารถเช่นเดียวกับคน คือ มีอาการกระวนกระวาย น้ำลายไหนยืดเต็มปาก หนักเข้าก็จะอาเจียน เนื่องจากสมองยังไมชินกับสภาพการเดินทางดังกล่าว
วิธีฝึกให้สุนัขไปไหนมาไหนโดยไม่เมารถ ไม่เมาเรือก็คือ นำสุนัขไปนั่งรถบ่อยๆ ติดเครื่องรถอยู่กับที่บ้าง ขับไปในระยะทางใกล้ๆ บ้าง ทำวันละ 10-15นาที จนกว่ามันจะชิน และไม่มีปฏิกิริยากระวันกระวาย นั่นแหละจึงควรจะพามันออกไปไหนมาไหนได้

ฝึกไม่ให้สุนัขกระโดดตะกุยและเลียปาก
สุนัขบางตัวที่ใกล้ชิดกับเจ้าของมากๆ เมื่อเวลาพบเจ้าของที่หายหน้าไปทั้งวันมักจะแสดงอาการดีอกดีใจจนเกินเหตุ ทั้งร้อง ทั้งเห่า บางตัวอาการหนักกระโดดเข้าหา ตะกุยเสื้อผ้า และเลียปากเลยก็มี
แก้ไขได้โดยการฝึกให้มันเข็ดหราบ โดยการออกคำสั่ง"หยุด" ไปพร้อมๆ กับ การเหยียบไปที่ขาที่มันยืนอยู่ให้มันรู้สึกเจ็บ ทำเช่นนี้ทุกครั้งที่มันแสดงกิริยาเช่นนี้ บ่อยเข้ามันจะจำและไม่กระโดดเข้าหาเราอีก

ฝึกสุนัขให้นั่ง
เป็นท่าพื้นฐานที่สอนได้ไม่ยาก ครั้งแรกใช้ขนมที่มันชอบหลอกล่อเป็นรางวัล โดยเรียกชื่อและแสดงให้เห็นว่าที่มือของคุณมีขนมอยู่ ถือขนมไว้ไว้ที่ระดับอก ธรรมชาติของสุนัขจะเงยหน้ามองและนั่งในที่สุด บางตัวที่ไม่นั่งเราต้องใช้มือช่วยกดสะโพกของมันพร้อมออกคำสั่งให้นั่ง เมื่อมันทำได้จึงให้ขนมนั้นเป็นรางวัล ทำเช่นนี้บ่อยๆ สุนัขก็จะนั่งตามคำสั่งเราได้เอง

ฝึกสุนัขให้ปรับตัว
สุนัขที่เราได้มาใหม่มักจะตื่นและไม่คุ้นเคยกับบ้านใหม่ที่มันได้มาอยู่ครั้งแรกที่วางมันลงพื้นบ้าน มันอาจจะไม่เดิน หมอบอยู่อย่างนั้นควรปล่อยให้มันอยู่เช่นนั้นสักพัก เพราะมันอาจจะเหนื่อยจากการเดินทาง โดยเตรียมหาน้ำและอาหารสักเล็กน้อยมาไว้ใกล้ๆ ตัวมันจะทำให้มันคุ้นเคยและอบอุ่นใจได้ว่าที่พักพิงใหม่ของมันมีอาหารและน้ำสมบูรณ์ พอที่จะให้มันอยู่รอดได้

กรณีที่บ้านของคุณมีสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว เมื่อสุนัขตัวใหม่มาถึงบ้าน ถ้าเป็นลูกสุนัขด้วยกันไม่มีปัญหา ปล่อยสักพักเขาจะเข้ากันได้เอง กรณีเป็นสุนัขใหญ่กับลูกสุนัข ต้องดูอย่างใกล้ชิดไม่ให้สุนัขตัวโตทำร้าย แต่ด้วยธรรมชาติที่สุนัขตัวเล็กอ่อนแอกว่าจะล้มตัวลงนอนหงาย แสดงอาการว่า "ยอมแพ้" โดยสิ้นเชิง จึงไม่ค่อยเห็นการถูกทำร้ายจากสุนัขตัวโตเจ้าถิ่น แต่อย่างใด นอกเสียจากว่าสุนัขตัวนั้นจะเป็นสุนัขที่มีนิสัยดุร้าย ก้าวร้าวจริง ๆ

ฝึกสุนัขสำหรับโชว์
หลายคนตระหนักดีกว่า สุนัขทุกตัวสามารถฝึกฝนเปลี่ยนแปลงนิสัยให้ทำตามคำสั่งของเราได้ แต่ทุกอย่างจะต้องใช้เวลาแบบค่อยเป็นค่อยไป และต้องฝึกฝนกันตั้งแต่สุนัขนั้นยังตัวเล็กๆ อายุ 2-4 เดือนเลยทีเดียว การฝึกสุนัขจนถึงขั้นออกโชว์ต่อหน้าผู้คนได้ สุนัขตัวนั้นต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนักและสม่ำเสมอ จนมันไม่ตื่นคน ไม่ตื่นไฟ และพร้อมที่จะแสดงตามคำสั่งของเราเหมือนพูดจาภาษาเดียวกันเลยทีเดียว






การฝึกให้สุนัขกินอาหาร
ปัญหาของสุนัขเวลากินอาหาร คือ กินไม่เป็นที่ ตะกละ มูมมาม เราสามารถฝึกให้สุนัขกินอาหารให้เป็นที่ได้ โดยให้อาหารตรงเวลา ณ สถานที่เดิม สุนัขจะจำได้และมาคอยบริเวณนั้นเมื่อเวลามันต้องการอาหาร ควรให้อาหารมันหลังจากที่คุณรับประทานอาาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว การตามใจโดยให้มันกินพร้อมกับคุณจะทำให้มันไม่เชื่อฟัง และดุร้าย เอาแต่ใจตัวเองในภายภาคหน้า นอกจากนั้นต้องให้อาหารแก่สุนัขตัวที่ดูแข็งแกร่งและเป็นผู้นำก่อน เพื่อไม่ให้มันไปแย่งตัวที่อ่อนแอกว่าได้

ฝึกสุนัขให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง
เป็นสิ่งที่ต้องการที่สุดสำหรับทุกบ้านที่เลี้ยงสุนัข การฝึกสุนัขให้ถ่ายเป็นทีเป็นทางต้องฝึกกันตั้งแต่มันตัวเล็กๆ อายุ 2-5 เดือน ตอ้งใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะฝึกนิสัยของมันได้

ต้องเข้าใจก่อนว่าธรรมชาติของสุนัขมันจะถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะครั้งแรกในตอนเช้า ตอนที่มันตื่นนอนขึ้นมาสักพัก วิธีฝึกต้องจับมันไปในบริเวณที่จะให้มันถ่ายทุกๆ เช้า สุนัขจะเดินดมและหยุดฉี่ บางตัวก็หยุดอุจจาระไปเลย เมื่อเสร็จธุระแล้วจึงพามันกลับเข้าบ้านตามเดิม

เวลาต่อไปที่จะนำสุนัขออกมาถ่ายในที่ที่กำหนด ก็คือ หลังจากที่มันทานอาหารทุกมื้อและก่อนนอน เราต้องพาไปในที่เดิมทุกๆ ครั้ง รอให้มันฉี่ มันถ่ายเสร็จ ทำเช่นนี้สัก 7-10 วัน สุนัขของคุณมันจะจดจำไปเอง และไม่ถ่ายเปรอะไปหมด จนเราเก็บทำไม่ไหว



สำหรับสุนัขที่เลี้ยงไว้ในบ้านและเราต้องการจะให้มันถ่ายลงตรงกระดาษ หรือผ้าที่ปูเตรียมไว้ให้ วิธีฝึกก็คือเมื่อสังเกตเห็นมันกำลังจะถ่าย พยายามเลื่อนกระดาษหรือจับมันให้ถ่ายลงตรงที่กระดาษปูไว้ พยายามทำเช่นนี้สัก 4-5 ครั้งสุนัขก็จะจำและถ่ายบนกระดาษไปเอง วันแรกๆ พยายามปูกระดาษให้มีพื้นที่กว้างหน่อย วันต่อมาค่อยๆ ลดชิ้นกระดาษลง จนกระทั่งเหลือแผ่นเดียว สุนัขของคุณก็จะถ่ายบนกระดาษจนเป็นนิสัยไปเอง

การฝึกจูงสุนัขออกนอกบ้าน
การนำสุนัขออกนอกบ้าน อุปกรณ์สำคัญที่สุดก็คือ สายจูง และโซ่บังคับโซ่บังคับจะเป็นบ่วงคล้องที่หัวของสุนัขเป็นอุปกรณ์สำคัญที่บังคับสุนัขได้ ดีมาก เมื่อสุนัขไม่ยอมเชื่อฟัง และออกวิ่งไปไกลโซ่บังคับตัวนี้จะเลื่อนหดเข้ามารัดคอ ทำให้สุนัขรู้สึกกลัวไม่กล้าฝืนคำสั่งอีก

เวลาจูงสุนัขต้องให้มันอยู่ทางซ้ายมือเสมอ สุนัขที่ดีจะไม่เดินนำหน้าเจ้าของ หรือออกแรงวิ่งลิ่วๆ ไปไหนมาไหนตามใจของมัน เวลาสุนัขออกนอกลู่ นอกทาง คุณต้องใช้คำสั่งขู่ให้มันหยุด พร้อมกับกระตุกโซ่บังคับไปด้วย ครั้งจะให้มันเดินต่อ หรือวิ่งก็ใช้วิธีออกคำสั่ง ไปพร้อมกับกระตุก โซ่บังคับ เป็นจังหวะ เช่นเดียวกัน

การฝึกให้สุนัขนั่งและคอย
ก่อนอื่นต้องฝึกออกคำสั่งให้สุนัขนั่งให้ได้เสียก่อน เมื่อได้แล้วจึงเริ่มฝึกให้มันคอย โดยใช้มือขวายกขึ้นในระดับสูงเหนือหัวของสุนัข พร้อมกับเคลื่อนตัวช้า ๆ ออกมายืนตรงหน้าสุนัข มือด้านขวาที่ยกขึ้นอย่าตก พร้อมกับออกคำสั่งให้ "คอย" ในตอนแรกอย่าเพิ่งปล่อยสายจูง เพราะเราไม่แน่ใจว่าสุนัขจะฟังคำสั่ง รู้เรื่องหรือไม่ เมื่อแน่ใจว่ามันทำตามคำสั่งได้แล้ว จึงปล่อยสายจูง โดยที่ มือขวาที่ยกขึ้นห้ามเอาลงเด็ดขาด พร้อมกับออกคำสั่งให้ "คอย" ไปเรื่อยๆ ทำเช่นนี้ และเพิ่มระยะทางไปเรื่อยๆสุนัขก็จะเชื่อฟังและทำตามคำสั่ง ของเราเอง

สัตว์เลี้ยงของเบญจวรรณ

โดเบอร์แมน พินเชอร์

โดเบอร์แมน พินเชอร์ (Doberman Pinscher)
แข็งแรง สง่างาม
 




ลักษณะทั่วไป
โครงร่างสง่างาม กล้ามเนื้อเห็นชัดเจน รูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส สังเกตุได้จากความสูงจากหัวไหล่ถึงปลายเท้าหน้าเท่ากับความยาวจากหน้าอกถึงบั้นท้าย หัวยาวเรียว กะโหลกด้านบนแบน โคนหูอยู่สูง ใบหูค่อนข้างเล็ก ตามธรรมชาติหูจะปรกลง แต่ถ้าได้รับการตัดแต่งหูจะต้องตั้งตรงได้สัดส่วนกับความยาวของส่วนหัว และตัดหางให้มันดูสง่าขึ้น คอยาวพอดี ตั้งตรงได้สัดส่วนกับลำตัว ความลึกของหน้าอกต้องไม่เกินครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมด โคนขาใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
ความเป็นมา
โดเบอร์แมน หรือ โดเบอร์แมนน์ มีถิ่นกำเนิดในเยอรมันในศตวรรษที่ 19 นายฮอร์ ลูอิส โดเบอร์แมนน์ อาศัยย่ในเมืองอพอลโด(เยอรมันตะวันออก)ในอาณาจักรของเธอริงเจนเขารับราชการเป็นผู้เก็บภาษีที่มีสุนัขคอยดินตามปกป้องเขา นายฮอร์โดเบอร์แมนน์ต้องการสุนัขเฝ้ายามที่ปราศจากความกลัวจึงเริ่มต้นคัดเลือกสุนัขเพื่อทำการเพาะพันธุ์ให้ได้สุนัขตามที่เขาต้องการ ไม่มีใครรู้แน่ว่าเขาผสมโดยใช้สายันธุ์ใดบ้างแต่ได้ยินว่าอาจเป็นเกรตเดน เยอรมันเชพเพิร์ดสายดั้งเดิมไม่ใช่เยอรมัน เชพเพิร์ดที่เรารู้จักในปัจจุบัน) ไวมาราเนอร์ แมนเชสเตอร์เทอร์เรีย์เกรยฮาวนด์และพันธุ์อื่นๆ อีกมากมายลอดชีวิต60 ปีกับการผสมข้ามสายพันธุ์นายเฮอร์โดเบอร์แมนน์ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อใช้เป็นสุนัขเฝ้ายามที่ต้องการหน่วยเมริกันมารีนส์รู้จักโดเบอร์แมน กันในนาม"สุนัขปีศาจ"และใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในแปซิฟิค โดยถูกนำขึ้นฝั่งพร้อมกับทหารเรือเพื่อไล่ล่าศัตรู
ลักษณะนิสัย
โดยทั่วไปแล้วธรรมชาติของ โดเบอร์แมน เป็นสุนัขที่ไว้ใจได้และเป็นเพื่อนที่ภักดีกับเจ้าของ นิสัยสุภาพ แต่แข็งแรงและอึดเท่าที่คุณใส่ใจฝึกฝนเขาเป็นเพื่อนเล่นที่ดีกับเด็กใน"ครอบครัว" เท่านั้นเขาจะชอบร่วมกิจกรรมต่างๆของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นที่โต๊ะอาหารหรือจะขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยความจริงแล้วเขาอาจลืมไปนึกว่าตัวเองก็เป็นคนด้วยแม้จะรักและเชื่อฟังเจ้าของ โดเบอร์แมน ก็สามารถวางปึ่งทำเหมือนไม่สนใจเราได้เช่นกันอย่างไรก็ตามในภาวะปรกติแล้วไม่ควรแสดงอาการฉุนเฉียวหรือก้าวร้าวแต่ถ้ามีอาการเหล่านี้ก็ไม่น่าไว้ใจและอาจแสดงนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้เวลาเครียดได้
การดูแล

โดเบอร์แมน เป็นสุนัขขนาดใหญ่ ร่าเริงฉลาดคุณต้องตั้งใจพาเขาไปออกกำลังกายและใส่ใจความต้องการของเขาคนทีคิดจะเลี้ยงโดเบอร์แมนควรมีเวลาพาเขาไปออกกำลังกายและฝึกฝนเขาเป็นประจำทุกวัน ถ้าอยากให้เขาอยู่กับเราอย่างมีความสุข เราจำเป็นต้องสอนเขาให้เชื่อฟังคำสั่งและอยู่ในการ ควบคุมได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน หรือขั้น สูงสุดจนได้รับใบประกาศ ทั้งคุณและสุนัขของคุณมี ความสุข และได้ประโยชน์จากกิจกรรมนี้โดเบอร์แมน ต้องเลี้ยงในบ้านที่มีพื้นที่เพียงพอ

ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
ผู้เลี้ยงทุกคนที่มีเวลาพาสุนัขไปฝึกฝน พาเข้าสังคมและพาไปออกกำลังกายได้
ข้อควรจำ
เพราะว่า โดเบอร์แมน ถูกเพาะพันธุ์เป็นสุนัขใช้งาน สภาพจิตใจและความพร้อมในการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญพอๆ กับ ความสามารถในการปฎิบัติตามคำสั่ง การประเมินความสามารถในการทำงาน (Working Aptitude Evaluation) มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบสุนัขว่าเหมาะกับลักษณะงานหรือไม่ เหมาะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน หรือเป็นผู้คุ้มกันเรา
 
 
มาตรฐานสายพันธุ์
 
ขนาด
สูง 65-69ซม. หนัก 20-26 กก.
ศีรษะ
ส่วนหัวยาว
ฟัน
ฟันคม แข็งแรง
ปาก
ปากยาว
หู
ธรรมชาติใบหูตกแต่นิยมถูกตัดแต่ง ให้หูตั้ง
หาง
ส่วนใหญ่จะตัดหาง
ขน
ขนนุ่มสั้นมันวาว
สีขน
ขนสีดำอาจมีสีน้ำตาลบ้าง

หลังอาน



หลังอาน
สุนัขไทยหลังอาน เป็นสุนัขที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย คือ ในจังหวัดตราดและจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดจันทบุรี และระยองจึงจัดเป็นสุนัขพื้นเมืองในบริเวณดังกล่าว

ลักษณะทั่วไป

เป็นสุนัขขนาดกลางมีรูปร่างใกล้เคียงกับสุนัขพื้นเมืองไทยทั่วไป แต่มีลักษณะพิเศษเป็นเอกลักษณะประจำพันธุ์ คือ บนหลังมีอานอยู่ด้านบน คล้ายว่ามีอานม้าวางอยู่บนหลัง มีรูปร่างลักษณะสง่างาม หน้าเชิด หูตั้ง หางทอดโค้งเหมือนดาบงอน ลิ้นมีปานสีดำ แต่เดิมใช้ในการล่าสัตว์เพราะมีความคล่องแคล่วว่องไว สำหรับอานที่เกิดบนหลังที่ดีจะต้องมีขนาดใหญ่ อานของสุนัขเกิดจาก 2 ลักษณะดังนี้

1. ขนที่ชี้ย้อนกลับไปด้านหน้า และไม่ได้เกิดจากขวัญ
2. ขวัญ ขวัญจะวนเป็นรูปก้นหอยจากไหล่ทั้ง 2 ข้างแล้วมาบรรจบกันที่หัวไหล่ เป็นวงกลมใหญ่ และเรียวลงมาตามแนวกระดูกสันหลังจรดโคนหางเหมือนอานม้า

การเกิดขวัญ ในตำแหน่งและจำนวนที่ต่างกัน มีผลทำให้เกิดรูปร่างของอานแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งได้ 8 ชนิด ดังนี้

1. อานเข็ม มีขนาดเล็ก และไม่มีขวัญ
2. อานแบบแผ่น หรือ อานม้า ขนาดใหญ่เต็มแผ่นหลังและไม่มีขวัญ
3. อานแบบเทพพนม ขนบนหลังจะไม่ชี้ย้อนไปด้านหัวแต่จะชี้ชนกันกลางแนวสันหลัง เหมือนใช้นิ้วประสานกันพนมไหว้ และไม่มีขวัญบนหลัง
4. อานแบบหัวลูกศรหรือธนู เกิดจากการมีขวัญ 2 ขวัญบนหัวไหล่
5. อานแบบพิณ เกิดจากขวัญจำนวน 3 – 4 ขวัญ คือ ที่บริเวณหัวไหล่ 1 – 2 ขวัญ และบริเวณกึ่งกลางลำตัว 2 ขวัญอยู่กันคนละฝั่ง
6. อานแบบใบโพธิ์ ขวัญจะกว้างเต็มแผ่นหลังและเรียวยาว แต่ไม่ถึงโคนหาง
7. อานแบบไวโอลีน เกิดจากขวัญตั้งแต่ 3 – 5 ขวัญ คือ คู่แรกอยู่บนหัวไหล่หน้า ส่วนคู่ที่ 2 จะเกิดค่อนไปด้านหาง
8. อานแบบลูกโบว์ลิ่ง เกิดจากขวัญ 4 – 5 ขวัญ คือ บริเวณหัวไหล่อาจมี 1 ขวัญ หรือไม่มีก็ได้ บริเวณกลางลำตัวมี 1 คู่ อยู่ชิดกันเป็นช่องที่แคบ และมีขวัญอีก 1 คู่ที่เหนือโคนขาหลังโดยอยู่ห่างกัน และดูกว้างกว่าคู่แรก

นิสัย

สุนัขไทยหลังอานเป็นสุนัขขนาดกลาง ได้ชื่อว่ารักเจ้าของมาก ซื่อสัตย์ ไม่ดื้อประจบเก่ง สุภาพ และฉลาด แต่มีความดุร้ายพอสมควรเมื่อเจอคนที่ไม่ใช่เจ้าของ

มาตรฐานพันธุ์

ขนาด เพศผู้ เพศเมีย
ความสูง (เซนติเมตร) 52.5 - 62.5 47.5 - 57.5
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) 22 - 24 20 - 22

ขน

สุนัขไทยหลังอานจะมีขนสั้น แบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ แบบกำมะหยี่ ขนจะสั้นเกรียนติดผิวหนังและมีความนุ่ม และแบบสั้นแต่ไม่เกรียนติดหนัง

สี

สีควรเป็นสีเดียวทั้งตัว ส่วนสีที่พบได้ คือ น้ำตาล, น้ำตาลแดง, น้ำตาล อ่อน, น้ำตาลดำ, ขาว, กลีบบัว และสีสวาท

หลักเกณฑ์การให้คะแนนในการประกวดสุนัขไทยหลังอาน

อาน 20 คะแนน
ขนาด และลักษณะทั่วไป 20 คะแนน
ลำตัว 15 คะแนน
หาง 10 คะแนน
ขน 10 คะแนน
หัว - ตา 10 คะแนน
ขา - เท้า 10 คะแนน
หู 10 คะแนน
รวม 100 คะแนน 

สปิตซ์





  สปิตซ์

ลักษณะทั่วไป
ความเป็นมา
     จริงๆแล้วมีสุนัข spitz อยู่หลายพันธุ์ เช่น Japanese spitz , Finnish Spitz ,German Spitz แต่ที่ได้รับความนิยมในบ้านเราที่สุดคือ Japanese spitz ซึ่งเป็นสุนัขที่เกิดจากการ ผสมพันธุ์ระหว่างสุนัข Siberian Samoyed ให้ตัวเล็กลงนะครับ จะเห็นว่าหน้าตาเหมือนเจ้า Samoyed ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าขนาดเล็กลงมาเท่านั้นเอง ในสมัยก่อนสุนัขพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นมาก จึงเป็นที่มาของชื่อพันธุ์
ลักษณะนิสัย
    มีนิสัยร่าเริง ฉลาด และขี้เล่น ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และเชื่อฟังเจ้าของ อาจจะเห่าเก่ง เพราะมันจะมีสัญชาติญาณในการเตือนภัยให้เจ้าของเมื่อมันรู้สึกว่ามีอันตราย หรือมีคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาใกล้ มันจะทำตัวเป็นยามปกป้องบ้านอยู่เสมอเลย ตามปกติแล้วเป็นสุนัขที่ฝึกได้ง่ายครับ แต่เจ้าของจะต้องให้เวลากับมันและฝึกอย่างสม่ำเสมอ สุนัขพันธุ์นี้จะชอบเล่นเกม อย่างพวกขว้างของแล้วให้ไปเอากลับมานี่จะชอบมากเป็นพิเศษ โดยทั่วไปแล้วสุนัขพันธุ์นี้เป็นมิตรกับเด็ก และเข้ากันได้ดีกับสุนัขที่ถูกเลี้ยงอยู่ในบ้านเดียวกัน
การดูแล
    การดูแลขน นี่ควรจะได้รับการแปรงหรือหวีอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีความจำเป็นจะต้องพาไปตัดขน ตามปกติแล้วเจ้าสปิตซ์เป็นหมาที่รักสะอาดมาก อาจจะไม่ต้องอาบน้ำบ่อยนักในหน้าผลัดขน ขนของสุนัขพันธุ์นี้จะร่วงค่อนข้างเยอะ ตามลักษณะของสุนัขพันธุ์ที่มีขนสองชั้นและเป็นสุนัขในกลุ่ม Northern Breed ทั่วไป
ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม
    ผู้เลี้ยงต้องให้เจ้าตูบออกกำลังกายอย่างเพียงพอ เพราะเป็นสุนัขที่พลังงานค่อนข้างเยอะ ในแต่ละวันควรให้โอกาสมันได้วิ่งเล่น หรือเล่นเกมกับเขาบ้าง ก็จะลดปัญหาเรื่องการกัดทำลายข้าวของ ในบ้านลงได้ 
ข้อควรจำ
     สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาก็คือเรื่องการเห่า เพราะได้ชื่อว่าเป็น "หมาเล็กใจใหญ่" เป็นสุนัขที่กล้าหาญและพร้อมที่จะปกป้องเจ้าของหรือบ้านที่อาศัยตลอดเวลา จะสงสัยคนแปลกหน้าเอาไว้ก่อน 
มาตรฐานสายพันธุ์
ขนาด
สูง 12-14 นิ้ว  น้ำหนัก 5-6 กิโล
ศีรษะ
    จมูก    เป็นสีดำสนิท
ปาก
  เป็นสีดำสนิท
ตา
เป็นสีดำสนิท
หู
  เล็ก และตั้งตรง
ขาหน้า
ขาหลัง
หาง
เป็นพวงและม้วนขึ้น 
ขน
เป็นสีขาวตลอดทั้งตัว 
สีขน
เป็นสีขาวตลอดทั้งตัว 
สูง 12-14 นิ้ว  น้ำหนัก 5-6 กิโล




http://www.youtube.com/watch?v=skT0nxi0z4s

ปอมเมอเรเนียน





ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์

เชื่อกันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์

ความฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวดสุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง 

มาตราฐานสายพันธุ์ 
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง 
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จนถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง 
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่งที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE) 
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด 
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง 
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก 
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก 
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป 
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด 
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR) 
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย 
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี 
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว 

จุดบกพร่อง : 
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH) 
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)